พลิกสถิติ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เหนือกว่า เชลซี ในการพบกันตลอดช่วงหลายปีหลัง โดยเฉพาะใน พรีเมียร์ลีก ที่ “ปีศาจแดง” ไม่พลาดท่าเสียทีให้กับ เชลซี ไม่ว่าจะเหย้าหรือเยือน มานานถึง 5 ฤดูกาลติดต่อกันแล้ว
แมนยู ของ เอริค เทน ฮาก จะเปิด โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด รับมือ เชลซี วันพุธที่ 6 ธ.ค. นี้ ด้วยสถานการณ์ที่ทั้งคู่ต่างก็ฟอร์มขึ้นๆ ลงๆ พอกัน โดยทีมปีศาจแดงมีอยู่ 24 แต้ม ยืนที่ 7 ของตาราง ส่วนทาง สิงห์น้ำเงิน ยืนอันดับ 10 มี 19 คะแนน
ย่างไรก็ตาม การพบกันตลอดหลายปีหลังใน พรีเมียร์ลีก เป็นทาง แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เหนือกว่าชัดเจน เมื่อไม่แพ้ เชลซี ทั้งเหย้าเยือนมาตลอด 5 ซีซั่นหลังสุด
หนสุดท้ายที่ เชลซี กำชัยเหนือ แมนยู ได้คือ 5 พ.ย. 2017 ที่ เชลซี เปิด สแตมฟอร์ด บริดจ์ เบียดชนะปีศาจแดง 1-0 จากประตูโทนของ อัลบาโร่ โมราต้า
จากนั้นเป็นต้นมาอีก 11 นัด แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายชนะ 4 ครั้ง และออกเสมอกันบ่อยครั้งถึง 7 เกมด้วยกัน
สำหรับซีซั่นที่แล้ว เสมอ 1-1 ที่ลอนดอน และ แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดบ้านถล่ม 4-1 แบบที่นำห่างถึง 4-0 ในเกม
ผลการพบกันของ แมนฯ ยูไนเต็ด – เชลซี ใน พรีเมียร์ลีก 5 ซีซั่นหลัง
2018/19 เชลซี 2-2 แมนฯ ยูไนเต็ด, แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1 เชลซี
2019/20 แมนฯ ยูไนเต็ด 4-0 เชลซี, เชลซี 0-2 แมนฯ ยูไนเต็ด
2020/21 แมนฯ ยูไนเต็ด 0-0 เชลซี, เชลซี 0-0 แมนฯ ยูไนเต็ด
2021/22 เชลซี 1-1 แมนฯ ยูไนเต็ด, แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1 เชลซี
2022/23 เชลซี 1-1 แมนฯ ยูไนเต็ด, แมนฯ ยูไนเต็ด 4-1 เชลซี
ผลการจับสลากประกบคู่ เอฟเอ คัพ รอบ 3 ปรากฎว่ามีบิ๊กแมตช์เกิดขึ้นเมื่อทาง อาร์เซนอล จะได้เปิดบ้านพบกับ ลิเวอร์พูล
ขณะที่แชมป์เก่าอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะได้เปิดบ้านดวล ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ทีมจากแชมเปี้ยนชิพ ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รองแชมป์เก่า ต้องบุกเยือน วีแกน แอธเลติก ทีมจากลีกวัน
ด้าน เชลซี จะได้เปิดบ้านรับมือ เปรสตัน นอร์ท เอนด์ ทีมจากแชมเปี้ยนชิพ ส่วนท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ได้เปิดบ้านเจอทีมในพรีเมียร์ลีกด้วยกันอย่าง เบิร์นลีย์
นอกจากนี้ ยังมีดาร์บี้แมตช์ที่น่าสนใจนั่นคือ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ซึ่งจะต้องบุกเยือนคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง ซันเดอร์แลนด์ ทีมจากแชมเปี้ยนชิพอีกด้วย
สรุปผลการประกบคู่ เอฟเอ คัพ 2024 รอบ 3
ลูตัน ทาวน์ – โบลตัน วันเดอเรอร์ส
ชรูว์สบิวรี ทาวน์ – เร็กซ์แฮม หรือ เยโอวิล ทาวน์
อาร์เซนอล – ลิเวอร์พูล
สโต๊ค ซิตี้ – ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน
นอริช ซิตี้ – ครูว์ อเล็กซานดร้า หรือ บริสตอล โรเวอร์ส
เวสต์แฮม ยูไนเต็ด – บริสตอล ซิตี้
ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ – เบิร์นลีย์
ฟูแลม – ร็อตเธอร์แฮม ยูไนเต็ด
เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน – อัลเดอร์ช็อต ทาวน์ หรือ สต็อคพอร์ต เคาน์ตี้
เซาแธมป์ตัน – อัลเฟรตัน ทาวน์ หรือ วอลซอลล์
เอเอฟซี วิมเบิลดัน หรือ แรมส์เกต – อิปสวิช ทาวน์
ปีเตอร์โบโรห์ ยูไนเต็ด – ลีดส์ ยูไนเต็ด
มิลล์วอลล์ – เลสเตอร์ ซิตี้
วัตฟอร์ด – เชสเตอร์ฟิลด์ หรือ เลย์ตัน โอเรียนท์
ซันเดอร์แลนด์ – นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ – คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้
คริสตัล พาเลซ – เอฟเวอร์ตัน
มิดเดิ้ลสโบรห์ – แอสตัน วิลลา
น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ – แบล็คพูล หรือ ฟอเรสต์ กรีน โรเวอร์ส
วีแกน แอธเลติก – แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ – ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์
แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส – เคมบริดจ์ ยูไนเต็ด
จิลลิงแฮม – เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด
สวอนซี ซิตี้ – มอร์แคมบ์
เชลซี – เปรสตัน นอรท เอนด์
ควีนส์พาร์ค เรนเจอร์ส – บอร์นมัธ
โคเวนทรี ซิตี้ – อ็อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด
เบรนท์ฟอร์ด – วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส
พลีมัธ อาร์ไกล์ – ซัตตัน ยูไนเต็ด
เมดสโตน ยูไนเต็ด – สตีฟเนจ หรือ พอร์ท เวล
นิวพอร์ท เคาน์ตี้ หรือ บาร์เน็ต – อีสต์เลห์ หรือ เรดดิ้ง
ฮัลล์ ซิตี้ พบ เบอร์มิงแฮม ซิตี้
ทั้งนี้ เอฟเอ คัพ 2024 รอบ 3 จะแข่งขันกันในวันที่ 5-8 มกราคม 2024 ซึ่งจะมีการประกาศรายละเอียดเพิ่มเติมในภายหลัง
เรื่องอาการเหวอและผิดพลาดง่ายๆของ โอนานานั้นเป็นมาตั้งแต่เปิดฤดูกาลเป็นต้นมา ซึ่งมานับมือรวมๆแล้วจะใกล้ถึง 10 ลูกแล้วมั้ง
แม้ว่าช่วงเดือนที่ผ่านมา โอนานาจะโชว์ฟอร์มสุดหนึบยิงยังไงก็ไม่เข้าเสียประตูค่อนข้างยาก เซฟอุตลุด จนทำให้สาวก “ปิศาจแดง”หลายคนเริ่มโล่งใจว่าอดีตแข้งอินเตอร์ มิลาน น่าจะปรับตัวเข้ากับพรีเมียร์ลีกได้แล้ว
จนมาถึงเกมล่าสุดที่บุกไปเยือนนี่แหละมันทำ ให้เห็นว่า โอนานาก็ยังเป็นโอนานา ยังเหวอเหมือนเดิม
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ “มะระหวาน” ไม่เข้าใจวิธีเซฟของโอนานา ที่เวลาปัดลูกยิงของคู่แข่งไม่ว่าจะมุมไหนจอมหนึบวัย 25 ปี มักจะปัดบอลให้ตกอยู่หน้าประตูตลอด จนทำให้โดนคู่ต่อสู้ตามซ้ำดาบสองได้หลายลูกเหมือนกัน
หากมาดูลีลาการเซฟของเดวิด เด เคอา จอมหนึบชาวกระทิงดุอดีตตำนานของแมนฯ ยูไนเต็ด มันช่างแตกต่าง เพราะเด เคอา เวลาที่ปัดลูกยิงของคู่ต่อสู้นั้นเจ้าตัวจะปัดทิ้งพ้นหน้าปากประตูทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเฉียดเสาออกหรือปัดเหนือคานออก นานๆทีจะตกตรงหน้าปากประตู
เพราะตอนตัวเองเล่นตำแหน่งผู้รักษาประตูเวลาคู่ต่อสู้ยิงมาก็ต้องพยายามปัดออกนอกสนามไปเลย เพราะหากปัดให้บอลตกอยู่หน้าประตูนั้นโอกาสโดนซ้ำดาบสองและเสียประตูสูงเลย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโอนานาจะมีอาการเหวอไปบ้างอะไรบ้าง แต่เจ้าตัวก็ครองตำแหน่งผู้รักษาประตูที่เก็บคลีนชีตมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกร่วมกับอลิสสัน เบคเกอร์ และนิก โป๊ป ที่ทั้งหมดเก็บคลีนชีตไปทั้งหมด 5 ครั้ง
จากความผิดพลาดของโอนานานั้น ล่าสุดทางเทน ฮาก ก็ไม่ได้ว่าอะไรมากนักเพราะมองว่าเป็นเรื่องที่ผิดพลาดกันได้…แต่มันก็ไม่ควรพลาดง่ายๆ แบบนี้ซ้ำไป
ซึ่งบอกได้เลยว่าตั้งแต่ดูแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กว่า 20 ปีไม่เคยเห็นโกลคนไหนของ “ปิศาจแดง” ที่พลาดง่ายอะไรแบบนี้บ่อยครั้งขนาดนี้ ขนาดมัสซิโม ตาอิบี อดีตนายด่านชาวอิตาเลียน หรือมาร์ค บอสนิช ผู้รักษาประตูทีมชาติออสเตรเลีย ก็ยังไม่เหวอบ่อยขนาดนี้เลย
ที่จริง เทน ฮาก ก็น่าจะดร็อปโอนานา ไว้ข้างสนามบ้างได้แล้ว เพราะหากปล่อยไปแบบนี้ต่อไปจะทำให้ “ปิศาจแดง” สูญเสียเป้าหมายที่วางเอาไว้ในช่วงต้นฤดูกาลหมดแน่ เพราะตอนนี้เป้าหมายไปให้ไกลที่สุดในถ้วยแชมเปียนส์ ลีก พังทลายลงไปแล้ว
และจากความผิดพลาดในเกมล่าสุดตอนนั่งดูการถ่ายทอดสดหน้าตาของอดีตจอมหนึบอินเตอร์ มิลาน ดูไม่ดีเอามากๆ คงผิดหวังกับตัวเองที่ทำพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก
เชื่อว่ามาถึงตอนนี้ เทน ฮาก ควรดร็อป โอนานา และเปิดโอกาสให้อัลทาย บายินดีร์ จอมหนึบมือ 1 ทีมชาติตุรกี ได้ลงวาดลวดลายบ้าง
เพราะได้นั่งดูบายินดีร์ลงเล่นให้ทัพ “ไก่งวง” ในเกมชนะ เยอรมนี 3-2 ลีลาการเซฟไม่ธรรมดาเลยจึงไม่น่าเสียหายถ้าเทน ฮาก จะยอมเปิดใจบ้าง
บางทีถ้าเปลี่ยนแล้วอาจจะดีขึ้นก็เป็นได้!!
ที่บอกว่าไร้เทียมทานก็เพราะ “เรือใบสีฟ้า” เกมนี้โดนไลป์ซิกนำไปก่อน 0-2 ในช่วงครึ่งแรก ก่อนแมนฯ ซิตี้ จะเดินหน้ารัว 3 เม็ดรวดแซงชนะได้อย่างสะใจบรรดาสาวก “เรือใบ” ที่เข้ามาเชียร์เต็มความจุของสนาม
การพลิกกลับมาชนะของแชมป์เก่ารายการนี้นั้นไม่ได้น่าแปลกใจ เอาเข้าจริงๆ ตอนที่เห็นว่าแมนฯ ซิตี้ โดนนำ 0-2 และเห็นรูปแบบการเล่นแล้วยังนึกอยู่เลยเดี๋ยวก็ยิงแซงชนะเพราะเหนือกว่าเยอะจริงๆ นั่งดูอยู่รู้สึกเหมือนกับว่า “เรือใบ” จะยิงเมื่อไรก็ได้ แต่อยู่ที่ว่าจะยิงหรือเปล่าเท่านั้น
ซึ่งหนึ่งใน 3 ประตูของ “เรือใบสีฟ้า” ก็ยังคงมีชื่อของเออร์ลิง ฮาแลนด์ กองหน้าทีมชาตินอร์เวย์ เหมือนเดิมโดยเจ้าตัวซัดให้ทีมไล่มาเป็น 1-2 จากประตูดังกล่าวทำให้เจ้าตัวยิงไป 19 ลูกจาก 20 นัด ที่ลงเล่นรวมทุกรายการ
เมื่อเห็นฮาแลนด์ยิงกระจุยกระจายแบบนี้จึงนึกถึงบทความของ “ดิ แอธเลติก” สื่อชื่อดังของเมืองผู้ดี ที่ได้ออกมารายงานว่า 20 ทีมพรีเมียร์ลีก เสื้อพร้อมเบอร์และชื่อของนักเตะคนใดที่ได้รับการนิยม (ซื้อ) จากแฟนบอลมากที่สุด
ซึ่งเสื้อนักเตะที่สาวก “เรือใบสีฟ้า” ซื้อมากที่สุดก็คือฮาแลนด์นั่นเอง ส่วนทางแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้นคนที่ขายเสื้อได้มากที่สุดก็คือ มาร์คัส แรชฟอร์ด กองหน้าเด็กปั้นของทีม แม้ว่าในซีซันนี้ฟอร์มจะไม่เจิดจรัสก็ตามเช่นเดียวกับเสื้อของ “ปิศาจแดง” เป็นเสื้อสโมสรขายดีที่สุดในอังกฤษ
ส่วนเสื้อที่สาวก “เดอะ ค็อป” ชื่นชอบมากที่สุดก็ไม่พลิกโผนั่นก็คือ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ กองหน้าทีมชาติอียิปต์ นั่นเอง ขณะที่อาร์เซนอล เสื้อแข่งที่ขายดีสุดก็คือ บูกาโย ซากา ปีกขวาทีมชาติอังกฤษเด็กปั้นของสโมสร เช่นเดียวกับรีซ เจมส์ ที่ก้าวขึ้นมาจากอะคาเดมีของเชลซี ก็เป็นขวัญใจของสาวก “สิงห์บลู” เชลซี จนขายเสื้อได้มากที่สุด
ด้านทอตแนม ฮอตสเปอร์ หลังจากที่แฮร์รี เคน กองหน้าขวัญใจและอดีตกัปตันทีมย้ายออกไปก็ทำให้เสื้อของซน เฮือง มิน กองหน้าทีมชาติเกาหลีใต้กัปตันทีมคนใหม่ ได้ทะยานขึ้นมาอยู่ในลิสต์ขายดีที่สุดแทน
แม้ว่าเสื้อนักเตะจะขายดีแค่ไหนหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเงินค่าขายเสื้อของนักเตะต่างๆ ที่เข้าสู่สโมสรนั้น สโมสรไม่ได้รับเงินทั้งหมด เพราะเงินค่าเสื้อนั้นจะเป็นรายได้ของผู้ผลิตเสื้อฟุตบอลต่างๆ แทนไม่ว่าจะเป็นไนกี้, อาดิดาส, พูม่า หรืออื่นๆ
ที่สโมสรไม่ได้เงินก็เพราะในแต่ละปีทางบริษัทผู้ผลิตเสื้อได้จ่ายค่าสปอนเซอร์ชุดแข่งไปหมดแล้วบางสโมสรก็รับ 40 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,762 ล้านบาท) ต่อปีบ้าง 30 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,321 ล้านบาท) ต่อปีบ้าง
แต่ในช่วงหลังบรรดาทีมต่างๆ ก็มาเปิดฉากเจรจากับบรรดาผู้ผลิตรายต่างๆ ว่าต้องมีส่วนแบ่งจากรายได้ค่าขายเสื้อให้กับสโมสรบ้าง แต่ก็ได้น้อยมากๆ อยู่ 7.5-10 เปอร์เซ็นต์ต่อตัวเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเสื้อตัวละ 100 ปอนด์ (ประมาณ 4,400 บาท) สโมสรจะได้ 7.5-10 ปอนด์ (ประมาณ 331-440 บาท) ต่อตัวเท่านั้น
หากทีมไหนเสียงดังหรือทีมใหญ่มีอำนาจต่อรองก็สามารถต่อรองได้เพิ่มมากขึ้นเป็น 15 เปอร์เซ็นต์หรืออาจจะสูงสุด 20 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างไรก็ตามไม่เกินกว่านี้แน่นอน
ก่อนหน้านี้เวลาที่ดึงนักเตะซุปเปอร์สตาร์มาร่วมทีมด้วยค่าตัวมหาศาลหรือจ่ายค่าเหนื่อยเยอะๆ เหมือนกับตอนที่แมนฯ ยูไนเต็ด ดึงคริสเตียโน โรนัลโด กลับมาร่วมงานในปี 2021 จ่ายค่าเหนื่อยสูงถึง 5 แสนปอนด์ (22 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์
ก็จะได้ยินหลายคนพูดว่าแค่ขายเสื้อของ “โด้” อย่างเดียว “ปิศาจแดง” ก็ได้ค่าเหนื่อยหรือได้ค่าตัวคืนแล้ว ดังวลีที่ว่า “สโมสรขายเสื้อก็คุ้มแล้ว”
อยากจะบอกว่าวลีดังกล่าวนี้มันใช้ไม่ได้กับความเป็นจริงแม้แต่นิดเดียว!!